วันนี้เราจะมารีวิวนานาฬิกาอัจฉริยะ ในราคาสุดคุ้ม อย่าง Amazfit GTR 3 Pro นาฬิกาตัวท็อปในปี 2022 ที่สามารถใช้งานได้กับสมาร์ทโฟนทุกระบบอย่างสะดวกสบาย
ซึ่งนาฬิกาตัวนี้ต่างจาก Amazfit GTR 3 ตัวก่อนยังไง ต้องบอกว่า เจ้า GTR 3 ธรรมดานั้นมีขนาดหน้าปัดอยู่ที่ 1.39 นิ้วเท่านั้น แถมยังถูกตัดบางฟังก์ชันออกไป ทำให้ไม่สามารถรับสายโทรศัพท์ผ่าน Smart Watch ได้ อีกทั้งยังไม่มีลำโพงในตัว รวมทั้งระบบ NFC อีกด้วย แต่ด้วยความที่เจ้า GTR 3 ถูกตัดฟังก์ชันบางอย่างออกไปจึงทำให้มันสามารถใช้งานได้ 21 วัน ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง กลับกันเมื่อมาดูเจ้า GTR 3 Pro นั้นมีฟังก์ชันหลายอย่างมากกว่าแต่ก็แลกมาด้วยกับการที่มันสามารถใช้งานได้เพียง 12 วัน ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ซึ่งก็ถือว่าคุ้มมากๆเมื่อเราได้ฟังก์ชันของนาฬิกาที่มากขึ้นนั่นเอง!
ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าเจ้านาฬิกา Amazfit GTR 3 Pro มีอะไรในกล่องมาให้เราบ้าง?
- ตัวเรือนนาฬิกา Amazfit GTR 3 Pro
- สายชาร์จหัวแม่เหล็ก
- คู่มือใช้งาน
ส่วนสีของนาฬิกาก็มีมาให้เราเลือกถึง 2 สี คือ 1. สีดำ (Infinite Black) และ 2. สีน้ำตาล (Brown)
แต่เมื่อใส่ใช้งานไปนานๆแล้วเบื่อสายล่ะก็ ทุกคนสามารถไปหาซื้อสายมาเปลี่ยนเองได้นะ
มาพูดในเรื่องการชาร์จกันดีกว่า คือทุกๆคนไม่ต้องกังวลว่าเวลาชาร์จเราจะชาร์จผิดฝั่งแล้วไฟจะเข้านาฬิกาของเรารึเปล่า เพราะว่าหัวชาร์จที่เขาให้มาเป้นหัวชาร์จแม่เหล็ก เมื่อเวลาเราชาร์จผิดตัวนาฬิกาและหัวชาร์จก็จะดันให้หลุดออกจากกัน แต่ถ้าเราชาร์จถูกล่ะก็ตัวนาฬิกากับหัวชาร์จแม่เหล็กจะดูดประกบกันทันที หมดกังวลว่าเราจะชาร์จไม่เข้าไปได้เลย
เมื่อเรารู้จักนาฬิกากันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็มาดูกันต่อในส่วนของวิธีการเชื่อมต่อนาฬิกากันต่อเลย เริ่มต้นเมื่อทุกคนได้สวมใส่นาฬิกาครั้งแรกแล้วก็ให้ทุกคนทำตามขั้นตอนดังนี้เลย
กดปุ่มบนค้างเพื่อเปิด Smart Watch เมื่อเปิดขึ้นมาก็จะเห็นว่าจะมี QR Code ปรากฎอยู่บนหน้าจอและบอกให้เราทำการดาวน์โหลดแอพพลิเคชันที่มีชื่อว่า Zepp บนสมาร์ทโฟนของเรา
เมื่อเราดาวน์โหลดแอพมาแล้วก็ให้เราเข้าแอพและเลือกอุปกรณ์ที่เราต้องการเชื่อมต่อ
ใช้สมาร์ทโฟนแสกน QR Code ที่ขึ้นบนหน้าของนาฬิกาให้มันจับคู่ให้เราให้เรียบร้อย
ต่อมาเรามาดูข้อควรระวังและข้อปฏิบัติเวลาสวมใส่นาฬิกากันเถอะ!
- เราไม่ควรใส่หรือรัดสายนาฬิกาแน่นเพื่อให้ผิวหนังของเราไม่โดนกดทับหรือหลวมเกินไปจนทำให้เซ็นเซอร์ของนาฬิกาวัดค่าไม่ได้ อีกทั้งอาจทำให้การวัดนั้นคลาดเคลื่อนได้นั่นเอง
- เราควรสวมนาฬิก่าบริเวณที่เรียบ ไม่ควรโดนกระดูกบริเวณข้อมือ หรือประมาณ 2 นิ้วจากฝ่ามือ นอกจากนี้ในจุดที่มีรอยสักหรือคนที่มีขนแขนเยอะอาจทำให้ไปรบกวนเซ็นเซอร์ได้
- ขนาดหน้าปัดของ Amazfit GTR 3 Pro มีขนาดอยู่ที่ 1.45 นิ้ว อาจจะดูใหญ่มากสำหรับข้อมือของคนที่มีข้อมือเล็ก เราจึงแนะนำให้สำหรับใครที่กังวลว่ามันจะใหญ่เกินไปให้ลองไปดู Amazfit GTS 3 หรือ BIP 3 Pro แทนจะดีกว่า ซึ่งนั่นจะเป็นนาฬิการูปทรงสี่เหลี่ยมที่มีขนาดเล็กกว่านั่นเอง
มาดูในส่วนของการใช้งานเจ้า กันดีกว่าว่ามันจะใช้งานอะไรได้บ้าง
สำหรับตัวนี้จะมีฟังก์ชันหลักๆอย่างแรกเลยคือ
- การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
- การวัดระดับออกซิเจนในเลือด
- การวัดระดับความเครียด
- การวัดอัตราการหายใจ
นอกจากนี้มันยังสามารถเก็บข้อมูลติดตามการนอนหลับและวิเคราะห์การนอนหลับเพื่อประเมินคุณภาพการนอนหลับของเราได้อีกด้วย และอีกตัวที่สำคัญคือค่า PAI ที่จะเป็นตัวชี้วัดและบอกข้อมูลเบื้องลึกการออกกำลังกายของแต่ละบุคคลว่าดีต่อสุขภาพแค่ไหน แต่ถ้าเราจะมีค่า PAI ออกมาได้ เราก็ต้องออกกำลังกายอย่างถูกวิธีนั่นเอง ซึ่งมาดูตัวอย่างระยะเวลาในการออกกำลังกายนานแต่ไม่เหนื่อยมาก เช่น การเดิน 1 ชั่วโมง จะได้ค่า PAI น้อยกว่าการเต้นซุมบ้าเพียง 25 นาที เพราะอัตราการเต้นของหัวใจที่เหมาะสมจะทำให้ค่า PAI ที่มาก การสะสมค่า PAI ให้ได้ 100 แต้มต่อสัปดาห์จะทำให้สุขภาพเราดีและห่างไกลจากโรคร้ายได้นั่นเอง
อย่างสุดท้ายคือการใช้งานการโทรออกและรับสายก็สามารถใช้งานได้ปกติแถมมีเสียงออกมาจากลำโพงของตัวนาฬิกาชัดเจนแจ่มแจ๋วมากๆเลย ยังไงก็ตามถ้ามีใครสนใจแล้วอยากได้เจ้าตัว Amazfit GTR 3 Pro ไปใช้งานล่ะก็ สามารถไปหาตำกันได้เลย!