รีวิว Levoit Core 200S, Core 300 และ LV-H133 เครื่องฟอกอากาศขายดีจากอเมริกา

เป็นกังวลเรื่องคุณภาพอากาศกันอยู่ไหมคะ ทั้งฝุ่นทั้งควัน ไหนจะ PM2.5 ที่แก้เท่าไรก็ไม่หาย ซึ่งอันตรายมากต่อระบบทางเดินหายใจของเราอีกด้วย หากมีการสะสมในร่างกายนานๆ ก็อาจจะทำให้ถึงขั้นเป็นมะเร็งปอดได้เลยค่ะ แต่เราสามารถทำให้บ้านของเราเป็นเซฟโซนจากมลพิษทางอากาศเหล่านี้ได้ ด้วยเครื่องฟอกอากาศ ไอเทมสุดฮิตที่ทุกบ้านควรมีไว้ โดยเครื่องฟอกอากาศจะดูดอากาศเสียหรือพวกฝุ่นควันต่างๆเข้าไปในตัวเครื่องผ่านไส้กรองแล้วก็ปล่อยอากาศบริสุทธิออกมาให้เรานั่นเองค่ะ

วันนี้ค่ะเราก็เลยมีเครื่องฟอกอากาศแบรนด์ Levoit มาแนะนำให้รู้จักกันค่ะ ถึงชื่อจะไม่ค่อยคุ้นหู แต่เป็นแบรนด์เครื่องฟอกอากาศอันดับ 1 ในอเมริกา การรันตียอดขายถล่มทลายจากทั้ง Amazon / BestBuy / Walmart และยังได้รางวัลอีกเพียบเลยล่ะค่ะ มาพร้อมความคุ้มค่าในราคาที่จับต้องได้ โดย Model ที่นำมาขายโดยศูนย์ไทยจะเป็น EU Version ทำให้ข้อมูลอาจจะไม่ตรงกับทางหน้า Website หลัก ซึ่งเป็น USA Version ค่ะ โดยจะแตกต่างที่ EU Version  จะใช้ไฟมากกว่าทำให้สามารถฟอกอากาศได้มากกว่านั่นเองค่ะ นอกจากนี้ยังรับประกัน 2 ปีสามารถเปลี่ยนเครื่องใหม่ได้เลยไม่ต้องรอซ่อม โดยมีมาให้เลือกมากมายหลายรุ่น แต่วันนี้เราจะเลือก 3 รุ่นที่น่าสนใจมารีวิวค่ะ นั่นก็คือ Core 200S / Core 300 / LV-H133

จุดเด่นของเครื่องฟอกแบรนด์ Levoit ทั้ง 3 รุ่น นั่นก็คือ ระบบการกรอง 3 ชั้น ที่จะช่วยให้อากาศในห้องสะอาดขึ้นแบบ 360 องศา ชั้นแรกเรียกว่า Pre-Filter ทำหน้าที่ดักจับอนุภาคขนาดใหญ่ เช่น เส้นใย เส้นผม ขนสัตว์ ฝุ่นเส้นใยต่าง ๆ ก่อนที่จะถึงชั้นกรองชั้นที่สอง หรือ H13 True HEPA Filter ที่สามารถกรองอนุภาความละเอียด 0.3 ไมครอนได้มากถึง 99.97% ดักจับอนุภาคจำพวกฝุ่นละเอียด ไร แบคทีเรีย อนุภาคของควัน ละอองเกสรดอกไม้ รวมทั้งสะเก็ดรังแคจากสัตว์ที่เป็นสาเหตุของอาการภูมิแพ้ ชั้นที่สาม เป็นชั้น High-Efficiency Activated Carbon Filter เป็นตัวกรองคาร์บอนคุณภาพสูงที่ช่วยดักจับกลิ่นไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นบุหรี่ กลิ่นสัตว์เลี้ยง กลิ่นการปรุงอาหาร รวมทั้งสารระเหยในอากาศจำพวก VOCs อีกด้วย

จุดเด่นต่อมาก็คือการควบคุมและการใช้งานที่ง่าย สะดวก ใคร ๆ ก็สามารถใช้งานได้ ผ่านการดีไซน์แผงควบคุมด้านบนตัวเครื่องระบบสัมผัสและปุ่มที่เข้าใจง่าย สื่อสารออกมาผ่านสัญลักษณ์รูป ไม่ว่าจะเป็นปุ่มเปิดปิดตรงกลาง / ใบพัดที่ควบคุมความเร็วลม / รูปพระจันทร์สำหรับ sleep mode / นาฬิกาสำหรับการตั้งเวลาการใช้งานได้ / หลอดไฟสำหรับเปิดปิด Night Light / กุญแจสำหรับโหมดล็อกหน้าจอที่ตัวเครื่อง / รูปพระอาทิตย์สำหรับเปิดปิดแสงบนหน้าจอแสดงผล / รูปทรงกระบอกพร้อมลูกศรจะแสดงสถานะของไส้กรองค่ะเมื่อไรก็ตามที่มีไฟขึ้นมาแปลว่าต้องเปลี่ยนไส้กรองแล้วค่ะ ซึ่งตามปกติแล้วจะต้องเปลี่ยนไส้กรองทุกๆ 6-8 เดือนค่ะ

โดยแต่ละรุ่นก็จะมีการจัดเรียงปุ่มที่แตกต่างกันไป ตามฟังก์ชั่นการใช้งานที่ต่างกันของตัวเครื่องอีกด้วยค่ะ เรามาดูรายละเอียดของแต่ละรุ่นกันต่อเลยค่ะ รุ่นแรก LV-H133 ตัวนี้จะมีขนาดใหญ่ที่สุดค่ะ สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้มากถึง 83 ตารางเมตร เหมาะกับห้องขนาดใหญ่ มีโหมด Auto ที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับฝุ่นที่ปนเปื้อนในอากาศ และสามารถปรับความเร็วลมได้อย่างเหมาะสมกับสภาพอากาศในขณะใช้งาน แผงควบคุมด้านบนตัวเครื่องมีวงแหวนไฟ LED เพื่อบอกคุณภาพของอากาศอีกด้วยโดยสีฟ้าจะบอกว่าอากาศดีมาก สีเขียวบอกว่าอากาศดี สีส้มบอกว่าอากาศปานกลาง และสีแดงจะบอกว่าอากาศแย่มาก ตัวเครื่องยังสามารถทำงานได้เงียบมากๆในโหมด Sleep โดยเบาที่สุดประมาณ 25 dB เท่านั้น รวมถึงมีค่า Clean Air Delivery Rate หรือ CADR สูงถึง 400 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ซึ่งค่า CADR คือความเร็วที่เครื่องฟอกสามารถทำให้อากาศภายในห้องบริสุทธิ์นั่นเองค่ะ ค่าตัวนี้ยิ่งสูงยิ่งเร็วนั่นเองค่ะ

รุ่นต่อมาเป็นรุ่น Core 300 ค่ะ รุ่นนี้เหมาะสำหรับห้องขนาดกลาง ครอบคลุมพื้นที่ได้มากสุด 40 ตารางเมตรค่ะ ค่า CADR เท่ากับ 187 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ทำงานได้เบามากๆ ด้วยเทคโนโลยี QuietKEAP ที่ช่วยลดเสียงรบกวนจากมอเตอร์ขณะทำงาน เพราะมีแผ่นกันกระแทกที่ช่วยดูดซับแรงกระแทกระหว่างตัวเครื่องและมอเตอร์ ทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานของมอเตอร์อีกด้วยค่ะ นอกจากนั้นยังมีเทคโนโลยี VortexAir ที่พัดลมจะดูดอากาศเสียเข้าจากด้านล่างของตัวเครื่อง และปล่อยอากาศดีออกสู่ด้านบน ทำให้ลมหมุนแบบไซโคลนเพิ่มการไหลเวียนของอากาศภายในห้องและเพิ่มประสิทธิภาพการกรองอีกด้วย

รุ่นสุดท้ายรุ่น Core 200S ตัวเครื่องสามารถครอบคุลมพื้นที่ 35 ตารางเมตรเหมาะกับห้องขนาดเล็กถึงกลาง ค่า CADR เท่ากับ 170 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ทำงานในโหมด Sleep ได้เบาถึง 24 dB ตัวเครื่องขนาดใกล้เคียงกับรุ่น Core 300S ถ้ามองผ่าน ๆ อาจจะแยกไม่ออกเลยค่ะ แต่เมื่อมองที่แผงควบคุมด้านบนใกล้ๆ จะพบจุดแตกต่างที่เห็นได้ชัดเลยคือสัญลักษณ์ Wifi นั่นเองค่ะ เพราะรุ่นนี้สามารถเชื่อมต่อ App VeSync ได้ซึ่งทำให้สามารถควบคุมเครื่องฟอกจากที่ไหนก็ได้นั่นเองค่ะ ภายใน App จะสามารถเพิ่ม/ลดความแรงของพัดลมได้ 3 ระดับ และเปิด/ปิดโหมด Sleep ได้ และยังสามารถตั้งเวลาเปิดปิดเครื่องได้อีกด้วยค่ะ ที่สำคัญเลยยังสามารถเช็คคุณภาพของตัว Filter ได้ด้วยค่ะโดยจะบอกเป็น % ว่าใช้งานไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว นอกจากนั้นยังรองรับการสั่งการด้วยเสียงร่วมกับ Amazon Alexa หรือ Google Assistant ได้อีกด้วย สำหรับการใช้งาน App VeSync ก็สามารถทำได้ง่ายเช่นเดียวกันค่ะ ทำได้ตามนี้เลย

ขั้นตอนแรก โหลด App จาก App Store หรือ Google Play และติดตั้ง App ให้เรียบร้อย อย่าลืมเปิด Bluetooth และ Wifi ก่อนเริ่มเชื่อมต่อด้วยนะคะ จากนั้นกดเข้า App แล้วเริ่มลงทะเบียนได้เลยค่ะ จะมีขั้นตอนการกรอก Email กำหนดรหัสผ่าน และยืนยันตัวตนผ่าน Email แค่แปปเดียวก็เสร็จเรียบแล้วค่ะ

เมื่อลงทะเบียนเสร็จเรียบแล้วเข้ามาที่ App ก็จะหน้าตาแบบนี้เลยค่ะ จากนั้นเราก็กด Add Device เลือกไปที่ Air Quality แล้วเลือกรุ่นเครื่องฟอกเลยค่ะเป็นรุ่น Core 200S แบบนี้ค่ะ กดที่ปุ่ม Power ค้างไว้ 5 วินาทีจนสัญลักษณ์ Wifi ที่เครื่องกระพริบค่ะ จากนั้นเครื่องจะเริ่มเชื่อมต่อค่ะ เลือก Wifi 2.4G ที่เราใช้งานนะคะ จากนั้นใส่รหัสผ่านค่ะ กด Connect แล้วรอสักครู่ ก็จะมีหน้าเด้งขึ้นมาให้เราเลือกพื้นที่ของเครื่องฟอกนะคะ จากนั้นก็ตั้งชื่อให้อุปกรณ์ค่ะ แล้วก็พร้อมใช้งานได้ทันที จะมี Pop Up เด้งขึ้นมาให้ตั้งค่า Amazon Alexa หรือ Google Assistant เราสามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปก่อนแล้วค่อยกลับมาตั้งค่าเพิ่มได้ค่ะ

สำหรับการใช้งาน Amazon Alexa สามารถตั้งค่าผ่าน App VeSync ได้เลยค่ะ โดยเข้าไปที่ More à Third Party Service à เลือก Amazon Alexa à เครื่องจะ link ไปที่ Alexa จากนั้นกดเชื่อมต่อได้เลยค่ะ แค่นี้ก็สามารถใช้งานได้แล้วค่ะ

สำหรับการใช้งาน Google Assistant ก่อนอื่นเราเข้าไปที่ App Google Assistant à กด Add Device à เลือก link smart home device à ค้นหา App VeSync à จากนั้น log in ด้วยข้อมูลที่เราเคยลงทะเบียนไว้ à จากนั้นเลือกเครื่องฟอกและระบบห้องที่มีการใช้งาน แค่นี้ก็สามารถใช้งานได้แล้วค่ะ

เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับเครื่องฟอกจาก Levoit ทั้ง 3 รุ่นที่นำมาแนะนำกันวันนี้ ด้วยดีไซน์ที่ถูกออกแบบมาอย่างสวยงาม ไม่ซ้ำใคร และระบบการกรองที่มีประสิทธิภาพ ก็ถือว่าน่าสนใจมากเลย โดยจะสรุปแบบสั้นๆให้อีกครั้งนะคะ ถ้าใครชอบความไฮเทคควบคุมการใช้งานผ่าน App และใช้งานในห้องขนาดไม่เกิน 35 ตรม. ก็ขอแนะนำรุ่น Core 200S เลยค่ะ แต่ถ้าใครไม่เน้นใช้งานบน App และต้องการใช้ในงานห้องขนาดไม่เกิน 40 ตรม. ก็แนะนำรุ่น Core 300 เลยค่ะ ส่วนใครที่ต้องการใช้งานกับห้องขนาดใหญ่แต่ไม่เกิน 83 ตรม. และต้องการทราบคุณภาพอากาศของห้องขณะใช้งานผ่านไฟ LED รุ่น LV-H133 ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเลยล่ะค่ะ

ใครที่สนใจรุ่นไหนอยากให้นำมารีวิวอีกหรือมีคำถามเพิ่มเติม สามารถกดสั่งไปดูรายละเอียดได้เลยค่ะ เครื่องฟอกอากาศ Levoit

 2,692 total views,  3 views today